การปลูกหม่อน(White Mulberry)

การปลูกหม่อน



การเลือกพื้นที่ปลูก
    หม่อนสามารถปลูกได้ในสภาพภูมิอากาศทุกภาคของประเทศไทย แต่ถ้าจะให้การปลูกหม่อนได้ผลดี ควรเลือกพื้นที่ที่มีดินร่วนซุย หน้าดินลึก มีการระบายน้ำดี แปลงหม่อนไม่ควรห่างจากโรงเลี้ยงมากจนเกินไป ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการขนส่งใบหม่อนไปเลี้ยงไหมและไม่ควรปลูกหม่อนใกล้โรงงานอุตสาหกรรม ไร่ยาสูบ หรือแปลงพืชที่มีการใช้สารเคมีบ่อยครั้ง เพราะอาจเป็นอันตรายต่อตัวหนอนไหม
พันธุ์หม่อน
1. หม่อนน้อย เป็นหม่อนที่ให้ดอกตัวผู้ กิ่งมีขนาดใหญ่ ลำต้นสีนวล มีตามาก ลักษณะของใบหนาเป็นมันสีเขียวแก่รูปใบโพธิ์ขอบใบเรียบ ลักษณะที่ดีของพันธุ์นี้คือทนแล้ง ขยายพันธุ์ง่ายด้วยกิ่งปักชำ ให้ผลผลิตประมาณ 1,500-2,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี แต่ไม่ต้านทานต่อโรครากเน่า
2. หม่อนสร้อย เป็นหม่อนที่ให้ดอกตัวผู้ กิ่งมีขนาดใหญ่แตกแขนงมาก ใบมีทั้งขอบใบเรียบและขอบใบเว้า อยู่ในต้นเดียวกัน ใบบางเหี่ยวเร็ว ผิวใบสากมือ เป็นหม่อนที่ทนแล้ง ให้ผลผลิตประมาณ 2,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี
3. หม่อนไผ่ เป็นหม่อนที่ให้ดอกตัวเมีย กิ่งมีขนาดปานกลาง ลำกิ่งอ่อนโค้ง สีน้ำตาลเขียว ลักษณะใบเว้า มีพื้นที่ใบน้อย ใบบางสากมือ ให้ผลผลิตต่ำ แต่มีข้อดีคือ ต้านทานโรครากเน่า จึงเหมาะสำหรับปลูกเป็นต้นตอ เพื่อติดตาหม่อนพันธุ์ดีหรือพันธุ์ลูกผสม
4. หม่อนคุณไพ เป็นหม่อนที่ให้ดอกตัวเมีย กิ่งมีขนาดใหญ่ ขอบใบไม่เว้า ใบมีลักษณะเป็นคลื่น ค่อนข้างบาง ให้ผลผลิตสูงและต้านทานต่อโรครากเน่า แต่ไม่ทนแล้งและเหี่ยวง่าย
5. หม่อนนครราชสีมา 60 (นม. 60) เป็นหม่อนที่ให้ดอกตัวเมีย ลำต้นตั้งตรง กิ่งสีเทา ใบเป็นรูปใบโพธิ์ ใบเลื่อมมัน หนาปานกลาง ผิวใบเรียบ เป็นหม่อนพันธุ์ลูกผสม ให้ผลผลิตประมาณ 3,600 กิโลกรัม/ไร่/ปี ต้านทานต่อโรคราแป้ง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีติดตา
6. หม่อนบุรีรัมย์ 60 (บร. 60) เป็นหม่อนที่ให้ดอกตัวเมีย ลำต้นตั้ง ตรง หลังจากมีการตัดแต่งแล้วสามารถ แตกกิ่งได้เร็ว กิ่งมีสีน้ำตาล ใบไม่แฉก ผิวใบเรียบ ใบใหญ่หนา อ่อนนุ่ม ให้ผลผลิตดี ในสภาพที่มีน้ำ เป็นหม่อนพันธุ์ลูกผสม ให้ผลผลิตประมาณ 4,300 กิโลกรัม/ไร่/ปี ขยายพันธุ์โดยการปักชำ
การเตรียมดิน
 สำหรับพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินดี ก่อนปลูกควรไถดินให้ลึกไม่น้อยกว่า 30 เซนติเมตร และควรตากดินไว้ประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อให้วัชพืชตาย จากนั้นจึงไถพรวนปรับพื้นที่ให้เรียบอีกครั้งหนึ่งสำหรับพื้นที่ที่ดินไม่มีความอุดมสมบูรณ์หรือผ่านการปลูกพืชอื่นจนดินเสื่อมสภาพแล้ว ควรขุดหลุมหรือขุดร่องตามแนวที่จะปลูกกว้างและลึกประมาณ 40-50 เซนติเมตร แล้วใส่พวกอินทรียวัตถุปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกรอง ก้นหลุม หากสภาพดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาวลงไปด้วยแล้วกลบดินให้มีลักษณะนูนเป็นหลังเต่า จากนั้นจึงทำการปลูกหม่อนsilk01
การเตรียมท่อนพันธุ์
   ควรเลือกกิ่งจากต้นพันธุ์ที่แข็งแรงให้ผลผลิตสูง คุณภาพใบดีไม่มีโรคและแมลงทำลาย ควรเลือกกิ่งที่มีอายุ ระหว่าง 6-12 เดือน ผิวเปลือกเป็นสีน้ำตาลเพื่อให้กิ่งมีอาหารสะสมไว้เพียงพอที่รากจะงอกได้ ตัดท่อนพันธุ์ด้วยกรรไกรตัดแต่งกิ่งเพื่อไม่ให้กิ่งช้ำ ความยาวท่อนละประมาณ 20 เซนติเมตร หรือมีตาหม่อนอยู่บนท่อนพันธุ์ 4-5 ตาวิธีตัดควรตัดส่วนบนของท่อนพันธุ์ให้มีลักษณะตรงและเหนือตาบนสุดประมาณ 1 เซนติเมตร ส่วนโคนของท่อนพันธุ์ให้ตัดเฉียงประมาณ 45 องศา เป็นรูปปากฉลามโดยตัดต่ำกว่าข้อตาล่างสุดประมาณ 1.5 เซนติเมตร และให้ด้านเฉียงอยู่ตรงข้ามกับตาล่างสุดหลังจากเตรียมท่อนพันธุ์เสร็จแล้ว ควรนำไปปลูกหรือปักชำทันที ถ้าหากไม่สามารถนำไปปลูกหรือชำได้ทันทีให้เอา ท่อนพันธุ์มัดรวมวางตั้งเก็บไว้ในที่ร่ม ใช้แกลบเผา ขี้เลื่อยหรือกระสอบคลุมไว้แล้วรดน้ำให้ชุ่มวันละครั้ง จะสามารถเก็บท่อนพันธุ์ไว้ได้นาน 2 สัปดาห์ในหน้าฝนหรือ 1 สัปดาห์ในหน้าแล้ง

silk03


                                               ท่อนพันธุ์หม่อน
ระยะปลูก  
การปลูกหม่อน ควรปลูกในแนวทิศเหนือ-ใต้ เพื่อให้ใบหม่อนได้รับแสงแดดตลอดวัน ในการปลูกหม่อนนั้น ระยะปลูกจะสัมพันธ์กับลักษณะดิน พันธุ์หม่อน และเครื่องทุ่นแรง โดยทั่วไปมักจะจัดระยะปลูกให้สัมพันธ์กับเครื่องทุ่นแรงดังนี้คือ 
ชนิดเครื่องทุ่นแรงระยะห่างระหว่าง
แถว (เมตร)
ระยะห่างระหว่าง
ต้น (เมตร)
จำนวนต้น/ไร่
1.เครื่องทุ่น แรงขนาดใหญ่3.00.70762
2. เครื่องทุ่นแรงขนาดกลาง2.50.75853
3. เครื่องทุ่นแรงขนาดเล็ก2.00.751,066
4. แรงงานคนหรือสัตว์1.50.751,422

ฤดูปลูก
ควรปลูกช่วงต้นฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคม เพราะความชุ่มชื้นในดินจะช่วยให้หม่อนตั้งตัวได้เร็วและ ไม่ต้องสิ้นเปลืองแรงงานในการรดน้ำ
การจัดการสวนหม่อน
การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับการจัดการ การจัดการที่ดีต้องมีการวางแผนการดำเนินงานและมีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่แน่ชัด ดังนี้
1. การวางแผน จะต้องมีการวางแผนก่อนว่าจะเลี้ยงไหมปีละกี่รุ่น จำนวนไข่ไหมกี่แผ่นหรือกล่องต่อรุ่น เพื่อที่จะได้กำหนดพื้นที่ปลูกหม่อนให้เพียงพอแก่การเลี้ยงไหม เช่น
    – ไหมพันธุ์ไทย หมายถึง ไหมพันธุ์พื้นเมือง รังไหมสีเหลืองขนาดเล็ก ไหม 1 แผ่นหรือกล่อง (20,000ฟอง) กินใบหม่อน 200 กิโลกรัม
    – ไหมพันธุ์ไทยลูกผสม หมายถึง ไหมลูกผสมระหว่างพันธุ์ไทยกับพันธุ์ต่างประเทศ (จีน/ญี่ปุ่น) รังไหม
สีเหลือง ไหม 1 แผ่นหรือกล่อง (20,000 ฟอง) กินใบหม่อน 300 กิโลกรัม
    – ไหมพันธุ์ลูกผสมต่างประเทศ หมายถึง ไหมลูกผสมที่เกิดจากพันธุ์ต่างประเทศผสมกัน ระหว่างพันธุ์จีนกับญี่ปุ่น รังไหมสีขาว ไหม 1 แผ่นหรือกล่อง (20,000 ฟอง) กินใบหม่อน 450-500 กิโลกรัม
การคำนวณ
formular1
หมายเหตุ ในสภาพทั่ว ๆ ไปเกษตรกรจะได้ผลผลิตใบหม่อน 2,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี
ตัวอย่าง  ถ้าต้องการเลี้ยงไหมพันธุ์ไทยลูกผสม 5 รุ่น/ปี โดยเลี้ยงรุ่นละ 1 แผ่น
formular2
ดังนั้นจะต้องใช้พื้นที่ปลูกหม่อน 0.75 ไร่ จึงจะพอเลี้ยงไหมพันธุ์ไทยลูกผสมปีละ 5 รุ่น ๆ ละ 1 แผ่น
2. พันธุ์หม่อน ต้องตัดสินใจว่าจะปลูกหม่อนพันธุ์อะไร ซึ่งแต่ละพันธุ์จะมีความเหมาะสมกับแต่ละสภาพ พื้นที่
3. แรงงาน เนื่องจากการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเป็นงานที่ต้องใช้ความชำนาญและเอาใจใส่เป็นพิเศษ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องคำนึงถึงแรงงานที่จะใช้เลี้ยงไหมเป็นสิ่งสำคัญด้วย
4. วัสดุอุปกรณ์ จะต้องมีวัสดุอุปกรณ์อย่างเพียงพอ เพื่อให้การปฏิบัติงานได้ผลรวดเร็วทันเวลาเพราะการยืมกัน ใช้อาจจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคไหมได้
5. แหล่งจำหน่าย จะต้องคำนึงถึงแหล่งจำหน่ายรังไหม หรือเส้นไหมด้วย การรวมกลุ่มกันจำหน่ายจะทำให้ช่วยลด ต้นทุนในการขนส่งได้
วิธีปลูก  
วิธีการปลูกที่นิยมกันมี 2 วิธี คือ  
1. นำท่อนพันธุ์ไปปลูกในแปลงโดยตรง 
ก่อนปลูกให้ใช้ไม้ไผ่ปักหัวท้ายเป็นแนวแถวปลูก นำเชือกที่ได้ทำเครื่องหมายระยะปลูกระหว่างต้นไว้ ดึงให้ตึงระหว่างหลักทั้งสอง แล้วปักท่อนพันธุ์ลงปลูกให้ลึก 3 ใน 4 ส่วนของความยาวท่อนพันธุ์ หรือมีตาอยู่เหนือพื้นดินประมาณ 1 ตา ใช้ท่อนพันธุ์ 2 ท่อนต่อหลุม และควรปักชำไว้เพื่อปลูกซ่อมบางหลุมที่ต้นตายด้วย 
silk04
นำท่อนพันธุ์ลงปลูกในแปลงโดยตรง 
2. นำท่อนพันธุ์ไปปักชำในแปลงเพาะชำก่อนแล้วจึงย้ายปลูกลงหลุมที่เตรียมไว้ โดยใช้ต้นกล้าที่มีอายุ 4 เดือนขึ้นไป ซึ่งจะทำให้ต้นหม่อนมีอัตราการรอดสูง
silk05
เพาะชำกิ่งหม่อนในแปลงเพาะชำ
การดูแลรักษาสวนหม่อน
การดูแลรักษาสวนหม่อนอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอจะสามารถทำให้ต้นหม่อนมีอายุยาวนานกว่า 10 ปี ให้ผลผลิตสูงและได้ใบหม่อนที่มีคุณภาพดี เมื่อนำใบหม่อนไปใช้เลี้ยงไหม หนอนไหมจะแข็งแรงและได้ผลผลิตรังไหมสูง ฉะนั้นในการดูแลรักษาสวนหม่อน ควรปฏิบัติดังนี้
1.  การเขตกรรมควรพรวนดินให้ร่วนโปร่งเพื่อให้มีการระบายอากาศและเหมาะแก่การเจริญเติบโตของต้นหม่อน อีกทั้งให้จุลินทรีย์ในดินเจริญได้ดี ซึ่งจะช่วยให้การสลายตัวของอินทรียวัตถุในดินเร็วขึ้น ทำให้รากหม่อนสามารถดูดน้ำและอาหารไปเลี้ยงลำต้นได้เต็มที่ การพรวนดินควรทำพร้อมกับการกำจัดวัชพืช
2. การกำจัดวัชพืชควรมีการกำจัดวัชพืชอยู่เสมอเนื่องจากวัชพืชจะเป็นตัวแย่งน้ำและธาตุอาหารในดิน นอกจากนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของโรคและแมลงอีกด้วย
3. การใส่ปุ๋ยควรมีการใส่ปุ๋ยทุกครั้งเมื่อมีการตัดต่ำหรือตัดกลาง เพื่อเป็นการเพิ่มธาตุอาหารในดิน ปุ๋ยที่ใช้มีอยู่ 2 ชนิด คือ
– ปุ๋ยอินทรีย์ ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ฯลฯ ควรใส่ประมาณ 1,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี โดยใส่ระหว่างกลางของ
แถวหม่อนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ซึ่งนอกจากจะเพิ่มธาตุอาหารแก่ต้นหม่อนแล้วยังเป็นการปรับปรุงโครงสร้างของดินอีกด้วย
– ปุ๋ยอนินทรีย์ ได้แก่ ปุ๋ยเคมีสูตรต่าง ๆ เช่น ปุ๋ยสูตร 15-8-10 หรือ 15-15-15 ควรใส่ประมาณ 100 กิโลกรัม/ไร่/ปี โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง คือ หลังจากตัดต่ำหรือหลังเก็บเกี่ยวใบหม่อนรุ่นที่ 1 ประมาณเดือนมิถุนายนและใส่ปุ๋ยอีกครั้งประมาณเดือนตุลาคม
การใส่ปุ๋ยหม่อนควรใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นส่วนใหญ่ และใช้ปุ๋ยเคมีร่วมด้วยเป็นการเสริมธาตุอาหาร นอกจากนี้ ทุก 2-3 ปี ควรมีการตรวจสภาพดินว่าเป็นกรดมากน้อยเพียงไร หากมีสภาพเป็นกรดมากควรใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพดินและเพิ่มแคลเซียมให้กับดินในอัตรา 60-70 กิโลกรัม/ไร่
silk06
การใส่ปุ๋ยในแปลงหม่อน
4. การรักษาความชื้นในดินน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ต้นหม่อนใช้ในการเจริญเติบโต ดังนั้น จึงต้องมีการรักษาความชื้นในดิน โดย
– การปลูกพืชคลุมดิน เช่น พืชตระกูลถั่ว ซึ่งจะช่วยป้องกันการระเหยของน้ำจากผิวดิน ช่วยกำจัดวัชพืชและเพิ่มธาตุอาหารในดินด้วย
– ใช้วัสดุคลุมดินพวกอินทรียวัตถุ เช่น ฟางข้าว ใบไม้แห้ง แกลบ คลุมระหว่างแถวต้นหม่อน เพื่อป้องกัน การระเหยของน้ำจากดินและเป็นการเพิ่มปุ๋ยอินทรีย์
– การให้น้ำ ควรมีการให้น้ำในฤดูแล้ง ประมาณเดือนละ 2 ครั้ง โดยวิธีเปิดร่องปล่อยน้ำเข้าแปลงหรือการใช้ระบบน้ำหยดในแปลงหม่อน
– การระบายน้ำ ในช่วงฤดูฝนอาจจะมีน้ำขังในแปลงหม่อน ทำให้เกิดผลเสียแก่ต้นหม่อนได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องระบายน้ำออกจากแปลง เพื่อให้หม่อนสามารถเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
การตัดแต่งกิ่งหม่อน
การตัดแต่งกิ่งหม่อนเป็นการเพิ่มผลผลิตและรักษารูปทรงของต้นหม่อน โดยแต่ละปีจะทำการตัดต่ำในเดือนเมษายน วิธีการตัดต่ำให้ใช้กรรไกรหรือเลื่อยตัดแต่งกิ่งเพื่อไม่ให้ต้นหม่อนช้ำ จะตัดให้เหลือลำต้นสูงจาก พื้นดินประมาณ 20-30 เซนติเมตร แล้วบำรุงรักษาต้นหม่อนโดยการใส่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอกผสมกับปุ๋ยเคมี หลังจากนั้นประมาณ 2-3 เดือน ต้นหม่อนจะเจริญเติบโตแตกกิ่งและใบพอเพียงสำหรับเลี้ยงไหมได้ 2-3 รุ่น ก็ให้ทำการตัดกลาง โดยตัดกิ่งให้สูงจากพื้นดินประมาณ 60 เซนติเมตร และบำรุงรักษาโดยการใส่ปุ๋ยเช่นเดียวกับการตัดต่ำ แล้วปล่อยให้ต้นหม่อนเจริญเติบโตแตกกิ่งและใบใหม่ประมาณ 1 1/2 – 2 เดือน  ก็สามารถเก็บใบหม่อนไปเลี้ยงไหมได้อีก 1 รุ่น และหลังจากนั้น 1 – 1 1/2 เดือนก็สามารถเก็บใบหม่อนไปเลี้ยงไหมได้อีก
การตัดแต่งกิ่งหม่อนสำหรับเลี้ยงไหมวัยอ่อนและวัยแก่
เป็นวิธีการในการเตรียมสวนหม่อนเพื่อการเลี้ยงไหมวัยอ่อนและวัยแก่ ซึ่งจะต้องแบ่งแปลงหม่อนออกเป็นแปลงหม่อนสำหรับเลี้ยงไหมวัยอ่อน และแปลงหม่อนสำหรับเลี้ยงไหมวัยแก่ แปลงหม่อนแต่ละส่วนควรทำการแบ่งออกเป็น 2 แปลงย่อย เพื่อจะได้นำใบหม่อนไปใช้เลี้ยงไหมสลับกัน ทำให้ต้นหม่อนมีเวลาพักตัวและแตกใบใหม่ ซึ่งแปลงหม่อนแต่ละแปลงจะต้องได้รับการดูแลรักษา และการตัดแต่งที่เหมาะสม
1. แปลงหม่อนสำหรับเลี้ยงไหมวัยอ่อน มีหลักการสำคัญคือต้องให้แตกกิ่งอ่อนจากต้นตอหลาย ๆ กิ่งในเวลาเดียวกัน สำหรับแปลงนี้ควรแบ่งออกเป็นแปลงย่อย 2 แปลง โดยมีการเตรียมและตัดแต่งเหมือนกัน แต่เวลาในการเตรียมและตัดแต่งของแต่ละแปลงจะไม่พร้อมกัน ซึ่งวิธีในการเตรียมที่และตัดแต่งของแต่ละแปลง จะไม่พร้อมกัน ซึ่งวิธีการเตรียมและตัดแต่งแปลงหม่อนแต่ละแปลงมีดังนี้
ก. การตัดต่ำ ควรทำการตัดก่อนการเลี้ยงไหมประมาณ 1 1/2 เดือน (ในช่วงต้นฤดูฝน) โดยทำการตัดต้นหม่อนให้เหลือต้นตอสูงกว่าพื้นดินประมาณ 30 เซนติเมตร และหลังจากตัดแล้วจะต้องมีการใส่ปุ๋ยและให้ น้ำเพื่อให้แตกกิ่งใหม่
ข. การตัดยอด จะทำก่อนที่จะเลี้ยงไหมรุ่นแรกประมาณ 1 เดือน โดยทำการตัดยอดกิ่งหม่อนที่แตกหลังจาก การตัดต่ำแล้ว เพื่อให้มีการแตกแขนงและเก็บใบหม่อนมาเลี้ยงไหมวัยอ่อนได้
ค. การตัดกลาง สำหรับแปลงหม่อนวัยอ่อนจะทำการตัดกลางปีละ 2 ครั้ง
    – ตัดกลางครั้งที่ 1 จะทำการตัดหลังจากการตัดยอดและเก็บใบหม่อนมาเลี้ยงไหมวัยอ่อน 2 รุ่น โดยจะตัดสูงกว่าพื้นดินประมาณ 60-80 เซนติเมตร เมื่อตัดเสร็จแล้วทำการใส่ปุ๋ยและให้น้ำ
    – ตัดกลางครั้งที่ 2 เมื่อทำการตัดกลางครั้งที่ 1 ไปแล้วประมาณ 1 – 1 1/2 เดือน ก็สามารถเก็บใบหม่อนไปเลี้ยงไหมได้อีกประมาณ 2 รุ่น จากนั้นจึงทำการตัดกลางครั้งที่ 2 แล้วใส่ปุ๋ยให้น้ำบำรุงแปลงหม่อนอีกประมาณ 1 – 1 1/2 เดือน หม่อนก็จะแตกกิ่งแขนงสามารถเก็บใบไปเลี้ยงไหมได้อีก 1-2 รุ่น จากนั้นก็ปล่อยให้หม่อนพักตัวเพื่อทำการตัดต่ำในต้นฤดูฝนของปีต่อไป
2. แปลงหม่อนสำหรับเลี้ยงไหมวัยแก่ ควรที่จะมีการแบ่งเป็นแปลงย่อยเพื่อการหมุนเวียนสลับแปลงในการเก็บใบหม่อนมมาเลี้ยงไหมจำนวนแปลงย่อยอาจจะแบ่งเป็น 2-3 แปลงก็ได้ ขึ้นอยู่กับขนาดของแปลงหม่อนที่เกษตรกรมีอยู่ การใส่ปุ๋ยและให้น้ำเป็นสิ่งสำคัญต่อแปลงหม่อนเช่นเดียวกับแปลงหม่อนเลี้ยงไหมวัยอ่อน แต่ช่วงเวลาในการเตรียมและการตัดแต่งจะแตกต่างกันบ้างดังนี้
    ก. การตัดต่ำ ควรจะทำการตัดต่ำปีละครั้งในช่วงฤดูฝน โดยตัดให้สูงเหนือพื้นดินประมาณ 30 เซนติเมตร แล้วทำการใส่ปุ๋ยและให้น้ำ ข้อดีของการตัดต่ำนอกจากจะทำให้ได้ผลผลิตหม่อนที่ดีมีคุณภาพพร้อมทั้งใบและรูป ทรงดีแล้ว ยังช่วยทำลายแหล่งของโรคและแมลงศัตรูหม่อนด้วย การตัดต่ำต้นหม่อนจะต้องทิ้งระยะไว้ประมาณ 2 เดือน จึงจะสามารถเก็บใบหม่อนมาเลี้ยงไหมได้
silk07
การตัดต่ำ
ข. การตัดกลาง หลังจากมีการตัดต่ำและเก็บใบหม่อนไปเลี้ยงไหมประมาณ 2 รุ่นแล้ว จึงจะทำการตัดกลางเพื่อให้ต้นหม่อนสามารถมีการแต่งกิ่งก้านได้ดี ให้ผลผลิตใบหม่อนที่สูงและมีคุณภาพ โดยจะตัดต้นหม่อนได้สูงกว่าระดับพื้นดินประมาณ 60-80 เซนติเมตร หลังจากตัดแต่งก็ใส่ปุ๋ยและให้น้ำด้วย
silk08
การตัดกลาง
    ค. การตัดแขนง เป็นวิธีการตัดแต่งหม่อนหลังจากการตัดกลางแล้วพร้อมกับการตัดกิ่งหม่อนไปเลี้ยงไหมได้ด้วย เนื่องจากการตัดแขนงที่แตกจากกิ่งหม่อนที่เหลือจากการตัดกลางนั้นสามารถที่จะนำไปเลี้ยงไหมได้โดยในแต่ละปีจะมี การตัดแขนงประมาณ 2 ครั้ง
silk09
การตัดแขนง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น